นิทรรศการนูดทัศนศิลป์ปี 3

สิ่งเล็กๆๆที่เรียกว่ารัก..

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความสุขกลับคืนมา..

...การดูแลสุขภาพคือความสุขของเรา...

…นวดให้ผอม กินให้เผาผลาญ เคล็ดลับหุ่นสวยสมส่วน…

เรื่องของรูปร่างและสุขภาพ คือสิ่งที่ผู้หญิงทุกเพศทุกวัยให้ความใส่ใจ และส่งผลให้เกิดเทรนด์การดูแลรูปร่างและการกินเพื่อสุขภาพขึ้นหลายรูปแบบ

เทคนิคการลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็นต้องอดอาหาร หรือพึ่งพาศัลยกรรม เพียงแต่ยึดหัวใจหลัก 2 ข้อ นั่นคือการรับประทานอาหารอย่างถูกวิธีหรือที่เรียกว่า “โภชนาการบำบัด” และการนวดเพื่อให้เรือนร่างเข้ารูปทรงหรือ “การปั้นแต่งเรือนร่าง” ให้สวยเหมาะสม

นวดให้ผอม เคล็ดลับเฉพาะอยู่ที่เทคนิคการนวดละลายไขมัน เป็นการนวดตามแนวกล้ามเนื้อ การไหลเวียนของโลหิต และน้ำเหลือง ช่วยให้ไขมันแตกตัว พร้อมจะนำไปเผาผลาญ คือ ทั้งยังช่วยผลักดันเนื้อที่เป็นส่วนเกินให้กลับเข้าที่ ทำให้รูปร่างมีส่วนโค้งส่วนเว้า ผิวพรรณสดใส และยังช่วยให้ทรวงอกอวบอิ่มขึ้นได้ด้วย โดยการนวนนั้นควรได้รับการนวดบ่อยครั้งในช่วงแรก แล้วจะรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงหากนวดประมาณ 3-4 ครั้งภายใน 2 สัปดาห์

กินให้เผาผลาญ การรับประทานอาหารที่ถูกวิธีไม่ใช่การอดอาหารหรือรับประทานแบบนับจำนวนแคลอรี่ แต่ต้องเริ่มจากการเรียนรู้ระบบย่อยของอาหารแต่ละประเภท และรับประทานอาหารให้ครบ 6 หมู่ ในจำนวนที่เหมาะสมตามสัดส่วนการใช้งาน โดยเน้นให้มีปริมาณโปรตีนถึงระดับ เพราะหากน้อยไปอาจส่งผลให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ไม่เต็มที่ เช่น มื้อเช้าควรรับประทานโปรตีนประมาณ ? ฝ่ามือ มื้อกลางวัน ? ฝ่ามือ มื้อเย็น 1 ฝ่ามือ หรือหากอยากรับประทานขนมเค้ก ก็เพียงตัดข้าวออกไปครึ่งหนึ่ง เพื่อแทนที่กัน เป็นต้น โดยหลักการนี้เรียกว่า “บาลานซ์ฟู้ด” หรือรับประทานให้สมดุลกับการที่ร่างกายจะนำไปใช้ และไม่เกิดการสะสม คือไปอ้วนนั่นเอง


คุณทราบไหมคะว่าสารสีต่างๆ ที่มีอยู่ในพืชนั้นมีประโยชน์และมีบทบาทมากพอๆ กับวิตามินเลยทีเดียว

มาร์ ฟาร์กัวสัน ผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชก็ได้แยกไว้อย่างคร่าวๆ พอให้เข้าใจได้ง่ายดังนี้ค่ะ.-

สารสีแดง มีสาร lycopene เป็นตัวพิกเม้นท์ให้สีแดงในแตงโม มะเขือเทศ สาร Betacycin ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูท และแคนเบอร์รี่ สารทั้งสองอย่างนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxydants ซึ่งจะช่วยป้อง กันการเกิดมะเร็งหลายชนิด


สารสีส้ม ผักและผลไม้สีส้ม เช่น มะละกอ แครอท มีสาร Betacarotene ซึ่งมีศักยภาพต้านอนุมูลอิสระอันเป็นตัวก่อมะเร็ง คนผิวขาวซีดที่กินมะละกอหรือแครอทมาก ผิวจะออกสีเหลืองสวย ทางกระทรวงเกษตรของสหรัฐอเมริกาประกาศว่า การกินแครอทวันละ 2-3 หัว จะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันในเลือด คนไทยที่ทดลองกินมะละกอห่ามมากๆ นานถึง 2 ปี จะช่วยเปลี่ยนสีผิวหน้าที่เป็นฝ้าให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมแก้ฝ้าเลย
สารสีเหลือง พิกเม้นต์ (Lutein) คือสารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ช่วยป้องกันความเสื่อมของจุดสี
หรือแสงสีของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็น

สารสีเขียว พิกเม้นต์คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll) เป็นสารที่ให้สีเขียวแก่ผักต่างๆ ผักที่มีสีเขียวเข้มมากก็ยิ่งมีคลอโรฟิลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อคโคลี่ ชะพลู บัวบก เป็นต้น และสารคลอโรฟิลล์ ก็มีคุณค่ามากเหลือเกิน นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเมื่อคลอโรฟิลล์ถูกย่อยแล้ว จะมีพลังแรงมากในการป้องกันมะเร็ง ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่างๆ ในตัวคนด้วย

สารสีม่วง พืชสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) เป็นตัวให้สีม่วงที่คุณเห็นในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วงผิวชมพู่มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารตัวนี้ช่วยลบล้างสารที่ก่อมะเร็งและสาร Anthocyanin นี้ยังออกฤทธิ์ทางขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตด้วย
ทำไงดีล่ะ … เมื่ออาหารที่เราทานส่วนใหญ่มีสารเคมีตกค้าง

ทุกวันนี้วัตถุดิบที่นำมาปรุงอาหาร ส่วนใหญ่มีสารเคมีตกค้าง เช่น เนื้อสัตว์มีสารเร่งเนื้อแดง ผักมียาฆ่าแมลงและสารเร่งดอกผล เป็นต้น เพราะฉะนั้นการล้างสารพิษด้วยสารอาหารจากธรรมชาติ จะทำให้เราลดปริมาณสารเคมีเหล่านี้ได้ ทำให้เราห่างไกลจากโรคภัยอีกด้วย โดยสารอาหารที่จะแนะนำในวันนี้ มีหลายสถาบันวิจัยออกมาแล้วว่าสามารถล้างสารพิษได้ ดังนี้.-
1. สารสกัดจากงาดำ
ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ควบคุมสุขภาพหลอดเลือดหัวใจ ลดการดูดซึมของคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจและต้านมะเร็ง
2. สารสกัดจากโรสแมรี่
เป็นสมุนไรที่ชาวโรมันนำมาใช้ล้างพิษตั้งแต่โบราณแล้ว ด้วยคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มปริมาณเอนไซม์ล้างพิษ และต้านมะเร็งในร่างกายถึง 450 เท่าของปริมาณปกติในร่างกาย
3. สารสกัดจากบีทรูท
อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามิน บี 1 บี 2 บี 3 บี 6 และวิตามินซี นอกจากนี้ยังช่วยล้างพิษที่ตับ ถุงน้ำดี ไต และเป็นสารอาหารที่ช่วยในการสร้างเลือด และลดอาการท้องผูก
4. สารสกัดจากชาเขียว
ซึ่งมีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ และกำจัดสารพิษในร่างกายให้เร็วยิ่งขึ้น และยังป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร ไต ถุงน้ำดี ผิวหนังและปอด
5. สารกรีนบาร์เลย์
อุดมไปด้วยวิตามินเกลือแร่ กรดอะมิโนและเอนไซม์บำรุงสุขภาพถึง 17 ชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเอนไซม์ที่สำคัญมาก ในขบวนการกำจัดอนุมูลอิสระระดับเซลล์ ที่ช่วยชะลอความเสื่อมชราของทุกอวัยวะในร่างกาย และทำให้ผิวพรรณสดใสมีชีวิตชีวาดูอ่อนวัยลง
6. กลุ่มวิตามินล้างพิษ
วิตามิน บี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 บี 12 วิตามินบีรวมเป็นสารอาหารจำเป็น ในกระบวนการล้างพิษของร่างกายในระดับเซลล์ ของทุกๆ อวัยวะทั้งในตับ โดยทำหน้าที่เป็นโค-เอนไซม์ในปฏิกิริยาการล้างพิษ นอกจากนี้วิตามินบีรวม ยังช่วยในขบวนการเผาผลาญโปรตีนและไขมันของร่างกายอีกด้วย
7. สารเบต้าแคโรทีน
วิตามินซี และอี ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระและสารพิษที่สะสมตามเซลล์ต่างๆ ช่วยขจัดพิษจากสารเคมีตกค้าง ช่วยเสริมภูมิต้านทานเพื่อต่อต้านสารพิษในร่างกาย
8. แอปเปิ้ลไฟเบอร์
เป็นเส้นใยธรรมชาติที่ละลายน้ำแล้วพองตัว ช่วยดูดซับไขมันคอเลสเตอรอล กลุ่มไขมัน และสารพิษ โลหะหนักที่สะสมหมักหมมอยู่ในลำไส้และขับถ่ายออก และยังช่วยป้องกันการเกิดนิ่วในถุงน้ำดีอีกด้วย
9. เมล็ดไซเลียม
เป็นแหล่งเส้นใยธรรมชาติที่ไม่ถูกย่อยสลายจะช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ทำให้สารพิษที่สะสมอยู่ในลำไส้ถูกขับถ่ายออกได้ง่ายขึ้น ช่วยลดอาการท้องผูก ชำระล้างพิษในลำไส้ใหญ่ และป้องกันโรคทางเดินอาหาร
10. สารสกัดจากเคลป์
สาหร่ายจากท้องทะเลที่อุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และแร่ธาตุ ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ทำลายสารพิษต่างๆ เช่นโลหะหนักและสารกัมมันตภาพรังสี ช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักได้
11. กระเจี๊ยบแดง
อุดมไปด้วย วิตามินซี ช่วยขับปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะคล่อง ช่วยลดความเข้มข้นของเลือด ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดดี ช่วยลดความดันเลือด มีกรดซิตริค ซึ่งเป็นสารให้ความเย็นธรรมชาติ ช่วยลดไข้ ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น ช่วยบำรุงผิวพรรณ บรรเทาการเกิดสิว และปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง มีสารต้านอนุมูลอิสระตามธรรมชาติ ป้องกันเซลล์ถูกทำลาย ช่วยป้องกันตับถูกทำลาย
12. ข้าวโอ๊ต
มีสารประกอบของกรดอมิโน กรดไขมันจำเป็น วิตามินบี1 แคลเซี่ยม เหล็ก ใยอาหารที่ละลายได้(Soluble Fiber) ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น ระบบขับถ่ายดีขึ้น ช่วยลดคลอเรสเตอรอล ลดความดันโลหิต ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดอุดตัน โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์ อัมพาต ช่วยบำรุงระบบประสาท คลายภาวะซึมเศร้า ลดอาการปวดศีรษะ อาการเหนื่อยล้า มีแคลเซี่ยม ช่วยทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง

เมล็ดพืชไม่ขัดขาว (Whole grain) มีประโยชน์ต่อหัวใจ

ณ วันที่ 11 พฤษภาคม 2007 มีรายงานใหม่เข้ามาว่าข้อมูลวิจัยมากมาย ได้ศึกษาวิจัยเรื่องคุณประโยชน์ของข้าวไม่ขัด ผลวิจัยรายงานว่าผู้ที่กินเมล็ดพืชที่ไม่ขัดขาว มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่กิน

งานวิจัยใหม่ล่าสุดในอเมริกาพบว่า คนที่กินเมล็ดพืชไม่ขัดสองมื้อครึ่ง จะมีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ เพียงหนึ่งในห้าของคนที่ไม่กิน ทั้งนี้วิเคราะห์จากคน 149,000 คน แต่ก็พบด้วยว่ามีน้อยคนที่ใส่ใจกับการกินอาหารที่ไม่ขัด นักวิจัยจากอเมริกาพากันลงความเห็นว่า เราต้องเพิ่มความพยายามให้หนักขึ้น ในการส่งเสริมให้ผู้ป่วยพยายามกินอาหารประเภทนี้ เพราะคนที่กินข้าวไม่ขัดขาววันละ 2.5 มื้อจะลดความเสี่ยงต่อการป่วยเกี่ยวกับโรคหัวใจ 21%


เมล็ดพืชไม่ขัดขาวคืออะไร




ตัวเมล็ดพืชประกอบด้วยหลักใหญ่ 3 ส่วน คือ รำ จมูก และโภชนาสาร แต่เมล็ดพืชที่ขัดขาวจะกำจัดตัวที่เป็นรำข้าวและจมูกออกไป ซึ่งทำให้เส้นใยและคุณค่าทางอาหารหมดไป

เมล็ดพืชที่ขัดขาวไม่สามารถช่วยปกป้องหัวใจได้เลย นอกจากนี้เมล็ดพืชไม่ขัดขาวจะช่วยลดโคเลสเตอรอล และเพิ่มวิตามินให้ได้หลายชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยหัวใจ

ตัวอย่างของเมล็ดพืชไม่ขัดขาวนั้น รวมถึงเมล็ดข้าวสาลีไม่ฟอก ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต ข้าวนก ข้าวบาร์เลย์ ข้าวป่า ข้าวไรย์ ข้าวโพด บัควีท



เคล็ดลับในการกินเมล็ดพืชไม่ขัด

ตามคำแนะนำของรัฐบาลสหรัฐฯ ระบุว่าจะต้องกินเมล็ดพืชไม่ขัด ให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่งของอาหารที่กินในแต่ละวัน ดังนั้นมื้อต่อไปแทนที่จะกินขนมปังขาว ก็ให้กินขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ฟอก และกินข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวป่าแทนข้าวขัดขาว

ถ้ายังกินไม่ได้ล้วนๆ ก็ค่อยๆ ผสมในข้าวเดิมๆ ที่เราชิน แล้วเพิ่มปริมาณ นอกจากนั้นก็อาจเติมเมล็ดพืชไม่ขัดขาว เช่น ข้าวป่า ข้าวโพด ข้าวกล้อง ฯลฯ ลงในแกงจืด หรือปรุงในอาหารบางอย่างก็ได้


สูตรอาหาร … ซุปข้าวป่าศรีเวียง …

ต้มน้ำเคี่ยวกระดูกไก่หรือกระดูกหมู (ถ้าเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งให้ใส่น้ำต้มผักหรือซุปผักแทน) ใส่น้ำปลา Low Sodium (มีปริมาณเกลือต่ำ สำหรับผู้ป่วย) เมื่อได้ที่แล้วใส่ผักโขม หรือบรอคโคลี่ หรือกระหล่ำปลี หรือฟักทอง หรือแครอทก็ได้ หั่นซอยเป็นชิ้นเล็กๆ อาจเติมไก่สับหรือหมูสับด้วย (เหมาะกับเด็กๆ) หรือผู้ใหญ่ที่ไม่มีความเสี่ยงโรคมะเร็ง เติมด้วยไข่ไก่ (ถ้าผู้ป่วยมะเร็งให้ใส่เฉพาะไข่ขาว) หรือเต้าหู้ก้อน เมื่อทุกอย่างสุกแล้ว ให้ดับไฟ แล้วใส่ข้าวชงศรีเวียงลงไปคนให้ทั่ว สัก 2 ช้อนโต๊ะ เมื่อเข้ากันดีแล้ว ตักข้าวป่าที่หุงสุกแล้ว (อาจเหลือจากที่หุงรับประทานแต่ละมื้อ) คนข้าวป่าฯ เป็นเม็ดๆ ให้กระจายทั่วกัน ชิมรสที่ชอบ พร้อมเสิร์ฟได้






คืนที่ฟ้าฉ่ำฝน ... ตายายคู่หนึ่งจูงมือ ค่อย ๆ พากันเดินเข้าร้าน McDonalds แลดูแปลกตาท่ามกลางเหล่าวัยรุ่นหนุ่มสาว สายตาหลายคู่จ้องมองมาอย่างชื่นชมในความรักที่ยืนยาวมากว่าครึ่งศตวรรษของสองตายาย ตาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์สั่งอาหารชุด และชำระเงินอย่างคุ้นเคย ก่อนพายายไปเลือกหาที่นั่งริมในสุดของร้าน ตายายช่วยกันนำอาหารออกจากถาด ตาค่อย ๆ แบ่งแฮมเบอร์เกอร์ออกเป็น 2 ส่วน เอาเฟรนช์ไฟร์ออกมานับครึ่ง และจัดวางไว้ดูน่ารับประทานข้างหน้ายาย คว้าแก้วโค้กมาจิบหนึ่งอีก ส่งให้ยายรับไปจิบหนึ่งอึกก่อนจะวางไว้ตรงกลางเบื้องหน้าทั้งคู่ ขณะที่ตาเริ่มกินแฮมเบอร์เกอร์ส่วนของตนอยู่ บรรดาลูกค้าในร้านที่จับตาดูคู่ตายายมาตั้งแต่ต้นเริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย หลายคนสะกิดกันพลางกระซิบ ...... "น่าสงสารจังแกคงมีเงินพอซื้อได้แค่ชุดเดียวมาแบ่งกันมั้ง" ชายหนุ่มโต๊ะข้าง ๆ ถึงกับเดินเข้ามาหาพร้อมเสนอตัวขอเป็นเจ้ามือซื้อให้อีกชุดอย่างสุภาพ ตายิ้มรับความมีน้ำใจ แต่ปฏิเสธอย่างนุ่มนวลว่า "ไม่เป็นไรหรอกมีอะไรเราก็ต้องเอามาแบ่งกันอยู่แล้ว" เวลาผ่านไป ทุกคนเริ่มสังเกตว่า ยายได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองตากินแฮมเบอร์เกอร์อย่างเอร็ดอร่อย ไม่ยอมแตะต้องส่วนของตน นอกจากหยิบโค้กขึ้นมาจิบ ชายหนุ่มคนเดิมตัดสินใจเข้ามาหาอีกครั้ง เอ่ยขอร้องให้เขาได้เลี้ยงคู่ตายายที่น่ารักนี้เถอะ คราวนี้ยายเป็นฝ่ายปฏิเสธอย่างอ่อนหวาน ยืนยันเหมือนเดิมว่ามีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกัน เมื่อตารับประทานเสร็จ ขณะหยิบกระดาษมาเช็ดปาก ยายก็ยังคงนั่งนิ่งดูสามีสุดที่รักอยู่อย่างนั้นราวกับกลัวว่าเขาจะไม่อิ่มจริง ๆ ชายหนุ่มคนเดิมก็อดรนทนไม่ได้อีก เอ่ยปากอย่างจริงจังขอตายายอนุญาตให้เขาเลี้ยงสักครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธอย่างสุภาพอีก ... ชายหนุ่มนึกสงสัย "ทำไมคุณยายไม่รับประทานบ้างเลยครับ ก็ไหนบอกว่ามีอะไรก็ต้องเอามาแบ่งกันไง คุณตาก็ทานเสร็จแล้ว ยังรออะไรอยู่หรือครับ? " คุณยายตอบเนิบ ๆ ......... "รอฟันปลอมจากตาน่ะหลานชาย..."





คุณค่าและความหมายของศิลปะ


ศิลปะเป็นคำที่มีความหมายทั้งกว้างและจำเพาะเจาะจง ทั้งนี้ย่อมแล้วแต่ทัศนะของแต่ละคน
แต่ละสมัยที่จะกำหนดแนวความคิดของศิลปะให้แตกกต่างกันออกไป หรือแล้วแต่ว่าจะมีใคร
นำคำว่า "ศิลปะ" นี้ไปใช้ในแวดวงที่กว้างหรือจำกัดอย่างไร
ศิลปะ เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
ในสมัยโบราณ นักปราชญ์ได้ให้ความหมายของศิลปะ (Art) ไว้ว่า ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ต้นไม้ ภูเขา ทะเล น้ำตก ความงดงามต่าง ๆ
ตามธรรมชาติจึงไม่เป็นศิลปะ ดอกไม้ที่เห็นว่าสวยสดงดงามนักหนา ก็ไม่ได้เป็นศิลปะเลย ถ้า
หากเรายึดถือตามความหมายนี้แล้ว สิ่งที่มนุษย์สร้างสร้างขึ้นทั้งหลาย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นศิลปะ
ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ภาพวาด ภาพพิมพ์ งานปั้น งานแกะสลัก เสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประดับ
ที่อยู่อาศัย ยานพาหนะ เครื่องใช้สอย ตลอดจนถึงอาวุธที่ใช้รบราฆ่าฟันกัน ก็ล้วนแต่เป็นศิลปะ
ทั้งสิ้นไม่ว่ามนุษย์สร้างสิ่งที่ดีงาม เลิศหรูอลังการ หรือน่าเกลียดน่าชังอย่างไรก็ตาม ล้วนแต่เป็น
งานศิลปะอย่างนั้นหรือไม่ ?
ศิลปะเป็นผลงานการสร้างสรรค์
ในสมัยต่อมา มีผู้ให้ความหมายของศิลปะว่า ศิลปะเป็นผลงานการสร้างสรรค์ ซึ่งในความหมาย
นี้ เราต้องมาตีความหมายของคำว่า "การสร้างสรรค์" กันเสียก่อน การสร้างสรรค์ หรือที่ภาษา
อังกฤษเรียกว่า "Cerative" นั้น คือ การทำให้เกิดบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา ซึ่งบางสิ่งบางอย่างนั้น
ไม่เคยมีอยู่มาก่อน ทั้งที่เป็นผลิตผล หรือกระบวนการ หรือความคิด ดังนั้น สิ่งที่จะเป็นงานสร้าง
สรรค์ได้จะต้องเป็นประดิษฐ์กรรมใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก หรือเป็นกระบวนการใหม่ ๆ ที่
สร้างขึ้นมาเพื่อกระทำการบางสิ่งบางอย่างให้ประสบผลสำเร็จ หรือเป็นการสร้างแนวคิดใหม่
ที่จะนำไปสู่วิธีการใหม่ ๆ แนวคิดใหม่ ๆ นี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์ เพราะแนวคิด
ใหม่ จะนำไปสู่การพัฒนากระบวนการ หรือวิธีการใหม่ ๆ ที่จะนำไปสู่ผลผลิตหรือประดิษฐ์กรรม
ใหม่ ๆ ให้เกิดขึ้นมาในโลก และตอบสนองความต้องการในด้านต่าง ๆ ของมนุษย์ได้ เพื่อแทนที่
ผลผลิต หรือประดิษฐ์กรรมเดิม ที่ตอบสนองได้ไม่พอเพียง หรือไม่เป็นที่พอใจ การสร้างสรรค์ใน
อีกความหมายหนึ่งจึงเกิดขึ้น คือ เป็นการทำให้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งมีหลาย ๆ วิธี โดยอาจเป็นการปรับ
ปรุงกระบวนการใหม่ ให้ได้ผลผลิตมากกว่าเดิม หรือเป็นการปรับปรุงรูปแบบผลผลิตใหม่ โดยใช้
วิธีการเดิม แต่ผลผลิตมีคุณภาพมากขึ้น แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ๆ ก็ตาม เป็นการกระทำให้เกิดขึ้น
จากการใช้แนวคิดแบบใหม่ ๆ ทั้งสิ้น และเป็นผลของวิธีการคิดที่เรียกว่า "ความคิดสร้างสรรค์"

ศิลปะคือความงาม
เมื่อเราพูดถึง ศิลปะ เรามักจะหมายถึง ความงาม แต่ความงามในที่นี้เป็นเรื่องของคุณค่า (Value) ที่
เป็นคุณค่าทางสุนทรียะ แตกต่างจากคุณค่าทางเศรษฐกิจ ที่เป็นราคาของวัตถุ แต่เป็นคุณค่าต่อจิตใจ
ความงามเกิดขึ้นด้วยอารมณ์ มิใช่ด้วยเหตุผล ความคิด หรือข้อเท็จจริง คนที่เคร่งครัดต่อเหตุผลหรือ
เพ่งเล็งไปที่คุณค่าทางวัตถุจะไม่เห็นความงาม คนที่มีอารมณ์ละเอียดอ่อนไหว จะสัมผัสความงามได้
ง่ายและรับได้มาก ความงามให้ความยินดี ให้ความพอใจได้ทันทีโดยไม่ต้องมีเหตุผล ความยินดีนั้น
เกิดขึ้นเองโดยไม่มีการบังคับ ความงามนั้นเกี่ยวข้องกับวัตถุก็จริง แต่มิได้เริ่มที่วัตถุ มันเริ่มที่อารมณ์
ของคน ดังนั้น ความงามจึงเป็นอารมณ์ เป็นสุขารมณ์หรือเป็นอารมณ์ที่ก่อให้เกิดความสุน เป็น1 ใน
3 สิ่งที่ก่อให้เกิดความสุขกับมนุษย์ ซึ่งได้แก่ ความดี ความงาม และความจริง ผู้ที่ยอมรับและเห็นใน
คุณค่าของทั้งสามสิ่งนี้ จะเป็นผู้มีความสุข เนื่องจากความงามเป็นอารมณ์ เป็นสิ่งที่อยู่ในความรู้สึก
นึกคิด ความงามจึงเป็นนามธรรม ดังนั้น การสร้างสรรค์งานศิลปะ ก็เป็นการถ่ายทอดความงามผ่าน
สื่อวัสดุต่าง ๆ ออกมา เพื่อให้ผู้อื่นได้สัมผัส ได้พบเห็น ได้รับรู้ สื่อต่าง ๆ จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้ชม
เกิดอารมณ์ทางความงามที่แตกต่างกันตามค่านิยมของแต่ละบุคคล ความงามไม่ใช่ศิลปะ เนื่องจากว่า
ความงามไม่จำเป็นต้องเกิดจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น ในธรรมชาติก็มีความงามเช่นกัน เช่น บรรยากาศ
ขณะที่พระอาทิตย์ขึ้น หรือตกดิน ความสวยงามสดชื่นของดอกไม้ ทิวทัศน์ธรรมชาติต่าง ๆ เป็นต้น
งานศิลปะที่ดีจะให้ความพึงพอใจในความงามแก่ผู้ชมในขั้นแรก และจะให้ความสะเทือนใจที่คลี่
คลายกว้างขวางยิ่งขึ้นด้วยอารมณ์ทางสุนทรียะของผลงานศิลปะนั้นในขั้นต่อไป ความงามในงาน
ศิลปะออกเป็น 2 ประเภท คือ

1 ความงามทางกาย (Physical Beauty) เป็นความงามของรูปทรง
ที่กำหนดเรื่องราว หรือเกิดจากการ ประสานกลมกลืนกัน
ของทัศนธาตุ เป็นผลจากการจัดองค์ประกอบทางศิลปะ
2 ความงามทางใจ (Moral Beauty) ได้แก่ ความรู้สึก หรืออารมณ์
ที่แสดงออกมาจากงานศิลปะหรือ ที่ผู้ชมสัมผัสได้จาก
งานศิลปะนั้น ๆ
ในงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ๆ มีความงามทั้ง 2 ประเภทอยู่ร่วมกัน
แต่อาจแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง มากน้อยขึ้นอยู่กับประเภท
ของงาน เจตนาของผู้สร้างและการรับรู้ของผู้ชมด้วย

ความงามในศิลปะ เป็นการสร้างสรรค์ล้วน ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับความงามวัตถุในธรรมชาติ เป็นความงามที่แสดงออกได้
แม้ในสิ่งที่น่าเกลียด หัวข้อ เรื่องราว หรือเนื้อหาที่ใช้สร้างงานนั้นอาจน่าเกลียด แต่เมื่อเสร็จแล้ว ก็ยังปรากฎความงาม
ที่เกิดจากอารมณ์ที่ศิลปินแสดงออก ดังนั้น ความงามจึงเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่ว่าด้วยความงามที่ศิลปินแสดงออกในงาน
ศิลปะ ซึ่งเรียกว่า "สุนทรียศาสตร์" มีข้อความที่ใช้กัน มาตั้งแต่สมัยเรอเนซองค์จนถึงทุกวันนี้ว่า
"ศิลปะมิได้จำลองความงาม แต่สร้างความงามขึ้น"

ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่า "ศิลปะเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดความงาม และความพึงพอใจ"
ที่มนุษย์ได้สร้างสรรค์สืบเนื่องกันมาตั้งแต่อดีตอันยาวนานจนถึงปัจจุบัน และจะสร้างสรรค์สืบต่อไปในอนาคตให้อยู่คู่กับเผ่าพันธุ์มนุษย์
ไปตราบนานเท่านาน โดยมีการ สร้างสรรค์ พัฒนารูปแบบต่าง ๆ ออกไปอย่างมากมายไม่มีที่สิ้นสุด
ศิลปะในความหมายต่าง ๆ
ศิลปะ แต่เดิมหมายถึง งานช่างฝีมือ เป็นงานที่มนุษย์ใช้สติปัญญาสร้างสรรค์ขึ้นด้วย ความประณีตวิจิตรบรรจง
ฉะนั้น งานศิลปะจึงไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็น ผลงานที่มนุษย์ใช้ปัญญา
ความศรัทธา และความพากเพียรพยายามสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่
คำว่า Art ตามแนวสากลนั้น มาจากคำ Arti และ Arte ซึ่งเริ่มใช้ในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
ความหมายของคำ Arti นั้น หมายถึงกลุ่มช่างฝีมือในศตวรรษที่ 14 , 15 และ 16
คำ Arte มีความหมายถึงฝีมือ ซึ่งรวมถึงความรู้ของการใช้วัสดุของศิลปิน ด้วย เช่นการ การผสมสี
ลงพื้นสำหรับการเขียนภาพสีน้ำมัน หรือการเตรียมและการใช้วัสดุอื่นอีก
การจำกัดความให้แน่นอนลงไปว่าศิลปะคืออะไรนั้น เป็นเรื่องยาก เพราะว่า ศิลปะเป็นงานสร้างสรรค์
ศิลปินมีหน้าที่ สร้างงานที่มีแนวคิดและรูปแบบแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ทฤษฎีศิลปะในสมัยหนึ่งอาจ
ขัดแย้งกับของอีกสมัยหนึ่งอย่างตรงกันข้าม และทฤษฎีเหล่านั้นก็ล้วนเกิดขึ้นภายหลังผลงานสร้างสรรค์
ที่เปลี่ยนแปลงและก้าวล้ำหน้าไปก่อนแล้วทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ทัศนะเกี่ยวกับ ความหมายของศิลปะ
ได้ถูกกำหนดตามการรับรู้ และตามแนวคิดต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง โดย บุคคลต่าง ๆ ซึ่งพอยกตัวอย่างได้ดังนี้

….ศิลปะ คือ ผลแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่แสดงออกมาในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ให้ปรากฏซึ่ง
สุนทรียภาพ ความประทับใจ หรือความสะเทือนอารมณ์ ความอัจฉริยภาพ พุทธิปัญญา ประสบการณ์
รสนิยมและทักษะของแต่ละคน เพื่อความพอใจ ความรื่นรมย์ ขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีหรือ
ความเชื่อทางศาสนา ( พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, 2530 )

….ศิลปะ คือ ผลงานการสร้างสรรค์รูปลักษณ์แห่งความพึงพอใจขึ้นมา และรูปลักษณ์ก่อให้เกิดอารมณ์
รู้สึกในความงาม อารมณ์รู้สึกในความงามนั้นจะเป็นที่พึงพอใจได้ก็ต่อเมื่อ ประสาทสัมผัสของเรา
ชื่นชมในเอกภาพ หรือความประสมกลมกลืนกันในความสัมพันธ์อันมีระเบียบแบบแผน
( Herbert Read, 1959)

….ศิลปะ คือ สิ่งที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อแสดงออกซึ่งอารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ความคิด และ/ หรือความงาม
( ชลูด นิ่มเสมอ, 2534 )

….ศิลปะ เป็นผลงานที่เกิดจากการแสดงออกของอารมณ์ ปัญญา และทัศนคติ รวมทั้งทักษะความชำนิ ชำนาญของมนุษย์
การสร้างสรรค์งานศิลปะในปัจจุบันมีแนวโน้มไปในทางการสร้างสรรค์ และการแสดงออกของอารมณ์และความคิด
ดังนั้น งานศิลปะนั้นอย่างน้อยที่สุดควรก่อให้เกิดอารมณ์ และ ความคิดสร้างสรรค์
กล่าวคือ เป็นงานที่สื่อให้ผู้ชมเกิดจินตนาการ นอกจากนั้น งานศิลปะที่ดีควรจะมีคุณค่าทางความงาม
ซึ่งเกิดจากการใช้องค์ประกอบของสุนทรียภาพ

( วิรัตน์ พิชญ์ไพบูลย, 2524)


ศิลปะจัดวาง[1] หรือ ศิลปะติดตั้ง (อังกฤษ: Installation art) หมายถึงประเภทของงานศิลปะที่มีที่ตั้งเฉพาะจุด, เป็นงานสามมิติ ที่ออกแบบเพื่อที่จะแปรสภาพการรับรู้ของสิ่งแวดล้อม (perception of a space)

โดยทั่วไปแล้ว “ศิลปะจัดวาง” จะหมายถึงศิลปะภายในตัวสิ่งก่อสร้าง ถ้าตั้งอยู่ภายนอกก็มักจะเรียกว่า “ศิลปะภูมิทัศน์” (Land art) และศิลปะสองประเภทนี้คาบเกี่ยวกัน ศิลปะจัดวางอาจจะเป็นได้ทั้งศิลปะที่ติดตั้งอย่างถาวรหรือเพียงชั่วคราวก็ได้ ศิลปะจัดวางได้รับการติดตั้งในการแสดงงานนิทรรศการศิลปะ เช่นในพิพิธภัณฑ์หรือหอศิลป์ หรือในบริเวณทั้งที่เป็นของส่วนบุคคลและของสาธารณชน ประเภทของงานก็ครอบคลุมตั้งแต่การใช้วัสดุที่พบโดยทั่วไป ที่มักจะเลือกสรรจากวัสดุที่ทำให้มีความกระทบอารมณ์ รวมไปถึงวัตถุสมัยใหม่เช่นวิดีโอ, เสียง, การแสดง, ความเสมือนจริงแบบดื่มด่ำ (Immersive virtual reality) และอินเทอร์เน็ต ศิลปะจัดวางหลายชิ้นเป็นศิลปะเฉพาะที่ (Site-Specific Art) ซึ่งหมายความว่าเป็นงานที่ออกแบบให้ติดตั้งตรงตำแหน่งหรือสถานที่ที่สร้างงานศิลปะโดยเฉพาะเท่านั้น